วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การดูแลสุขภาพร่างกาย

ขั้นตอนการดูแลสุขภาพสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  1. สุขภาพภายในร่างกายที่ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน และสุขภาพจิต โดยขั้นตอนการดูแลสามารถทำได้ดังนี้
    • การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
    • การตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี
    • การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
    • ควรมีช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อน เพื่อสูญอากาศที่บริสุทธ์ 
    • ทำจิตใจให้แจ่งใส ซึ่งอาจทำได้ด้วยการทำบุญ ตักบาตรที่วัด
    • ทำกิจกรรมยามว่าง เช่นปลูกต้นไม้ ดูแลพืชผักสวนครัว
    • หากเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด พร้อมรับประทานยา และหมั่นเข้าพบแพทย์ตามทแพทย์สั่งเสมอ
  2. สุขภาพภายนอกร่างกาย สามารถดูแลร่างกายได้ดังนี้
    • ออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปาห์ละ 4 วัน
    • การดูแล ชำระล้างสิ่งสกปรกภายในร่างกายอย่างถูกสุขลักษณ์
    • ปรับบุคลิกการดำเนินกิจวัตรประจำวัน เช่นการนั่ง การนอน การยืน หรือการเดิน ซึ่งแต่ละท่าจะช่วยทำให้ร่างกายมีบุคลิกภาพที่ดี 


วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต

อาหารที่ควรรับประทานเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต ได้แก่
  • ผักและผลไม้ อาหารประเภทนี้จะช่วยยับยั่งไม่ให้เกิดนิ่วในไต อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปริมาณซิเทรต โพแทสเซียม และความเป็นกรด เป็นด่างของน้ำปัสสาวะได้ดี และที่สำคัญมีไฟเบอร์ช่วยลดแคลเซียมและไขมันในเส้นเลือดได้อีกด้วย
  • รับประทานปลา ซึ่งเป็นอาหารที่ช่วยลดปริมาณแคลเซียมและไขมันจากสัตว์
  • งดรับประทานอหารที่มีไขมัน 
  • ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสชาดหวานหรือเค็มจนเกินไป
  • ลดปริมาณสารอาหารประเภทกรดยูริก ได้แก่ หนังสัตว์ปีกก ตับ ไต 
  • ควบคุมอาหารประเภทโปรตีนจากสัตว์โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานเกินกว่า 150 กรัมต่อวัน
  • หากรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคนิ่วในไตได้สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
  • หลีกหลี่ยงอาหารประเภทออกซาเลตสูง ได้แก่ งา ผักโขม ถั่ว
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพื่อเข้าไปดูดซับออกซาเลตในปัสสาวะ ซึ่งปกติแล้วตยปกติควรได้รับแคลเซียมสูงถึง 1000 มิลลิกรัมต่อวัน

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สลายนิ่วทำได้อย่างไรบ้าง

นิ่วเป็นโรคที่มักตรวจพบได้บ่อย โดยเฉพาะนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งในอตีตไม่มีเครื่องมือในการรักษาจึงต้องใช้วิธีการผ่าตัดนำเอาก้อนนิ่วออกมา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก้อนนิ่วสามารถหลุดล้วงออกมาพร้อมกับปัสสาวะได้เอง

ในปัจจุบันนี้มีเครื่องมือสำหรับการสลายนิ่ว ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
  • เครื่องมือที่สอดใส่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นทางผิวหนัง หรือทางเดินปัสสาวะ เพื่อเข้าไปทำการสลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ท่อไต หรือในเนื้อใต โดยการใช้พลังงานอัลตตราโซยิกส์ อิเล็กโทรไฉดรอลิกส์ หรือเรเซอร์
  • การปล่อยคลื่นความถี่สูงจากภายนอกร่างกายเข้าไปกระแทกให้ก้อนนิ่วแตก สลาย หลุดออกมา ซึ่งมีอยู่ด้่วยกัน 3 ประเภทคือ spark gap lithotripte, electromagnetic lithotripter และpiezoelectric lithotripter
ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการเสี่ยงที่จะเกิดโรคนิ่วในไตคือ ปัสสาวะขัด, ปัสสาวะแล้วเจ็บหรือปวด, มีเม็ดทรายปะปนมากับน้ำปัสสาวะ, มีเลือดปะปนมากับปัสสาวะ หรือปวดหลัง และเมื่อรักษาให้หายแล้วควรมั่นสังเกตุอาการของตัวท่านเองด้วย เนื่องจากโอกาสที่จะกลับมาเป็นนิ่วใหม่ก็มีอยู่สูงเช่นกัน

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำความรู้จักกับการฉีดโบท็อกและฟิลเลอร์

การสาวๆ ที่จะตัดสินใจไปฉีดโบท็อกหรือฉีดสารฟิลเลอร์ที่กำลังนิยมฉีดกันมากในขณะนี้ ก่อนอื่นต้องทำความ รู้จักเกี่ยวสารทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อน ดังนี้ 1.

  1. การฉีดโบท็อก คุณไม่ต้องมีการเตรียมตัวอะไรเป็นมากเลย เพราะการรักษาจะใช้เวลาเพียง 5-20 นาทีเท่านั้น ก่อนทำการฉีดอาจมีการทายาชาให้สำหรับผู้ที่กลัวว่าจะเกิดอาการเจ็บซึ่งจะทายาไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงการเริ่มทำการฉีด หลักทำ การฉีดโบท็อกเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถกลับไปทำงานต่อปกติทันที และต่อไปเป็นการดูแลรักษาเพื่อ การฉีดโบท็อกได้ผลดีและไม่เกิดการผิดพลาดใดๆ 
  2. การฉีดสารฟิลเลอร์ที่นิยมใช้กันมากคือ สารกลุ่มไฮยารูโลนิก แอซิด เป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในผิวหนังมนุษย์ สำหรับ บริเวณที่นิยมใช้สารฟิลเลอร์ได้แก่ ริมฝีปาก ร่องแก้ม ร่องบริเวณมุมปาก ฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิก แอซิด จะไม่ทำให้เกิดก้อน และโอกาสเกิดการแพ้สารจะน้อยมาก แต่ฟิลเลอร์ต้องฉีดซ้ำเพราะสารฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายไปตามเวลาซึ่งก็แล้วแต่ชนิดของไฮ ยาลูโรนิก แอซิด ด้วย และโดยปกติสารจะสลายๆ ในช่วง 6 -12 เดือน

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การกำจัดขนหน้าแข้งมีวิธีใดบ้าง

ปัญหาเส้นขนที่ไม่เล็กอย่างเส้นขนเลย สาวๆ หลายๆ ท่านที่ปัญหาขนในบริเวณต่างๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็น ขา แขน หน้าแข้ง รักแร้ หรือเป็นขอบบีกีนี่ เป็นต้นนั้น มีอยู่หลายวิธีกำจัดเส้นขน เช่น การถอน การใช้ครีมขจัดขน การทำเลเซอร์กำจัดขน หรือการปกปิดโดยการย้อมสีขนให้ดูเส้นขนบางลง ก็ได้เช่นกัน 1.

  1. การถอนขนหน้าแข้ง เป็นวิธีที่ต้องใช้ความอดทนสูงสักหน่อย เพราะการถอนเป็นวิธีที่ต้องเจ็บตัวนิดๆ และเหมาะสำหรับผู้ที่มี ปริมาณขนไม่มากนัก แต่ต้องของคอนเฟริ์มว่าได้ผลดีมากเพราะวิธีนี้ช่วยลงปริมาณเส้นขนได้ และทำให้ขนเกิดช้าอีกด้วย 2. 
  2. การใช้ครีมทาขจัดขน การกำจัดขนด้วยวิธีการใช้ครีมขจัดขนคุณต้องเลือกตัวครีมให้ดีเพราะคุณอาจเกิดอาการแพ้ได้ และผล กระทบต่อมาคือจะทำให้ผิวหนังที่ขาของคุณเสียโฉมก็เป็นได้ ซึ่งคุณต้องระมัดระวังในการใช้และควรทดลองครีมก่อนใช้จะดีกว่า การใช้ครีมขจัดขนนั้นเป็นวิธีที่ทำได้รวดเร็วและหลังทำผิวจะเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย 3. 
  3. การทำเลเซอร์กำจัดขน เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีการพัฒนามาสำหรับการกำจัดขนถาวรที่ได้รับความนิยมมาก ในปัจจุบัน การกำจัดขนด้วยวิธีนี้จะไม่ทำให้เกิดการเจ็บหรือมีอาการแสบในขณะทำเลเซอร์ การทำเลเซอร์กำจัดขน สามารถทำได้ทุกบริเวณทุกส่วนของร่างกายที่คุณต้องการกำจัดเส้นขนออกไป เช่น รักแร้, แขน ขา หน้าแข้ง, ขอบบี กินี่ (Bikini line) เป็นต้น หลังทำเลเซอร์กำจัดขน จะช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น สังเกตได้เลยว่ารูขุมขนดูกระชับขึ้น 4. 
  4. การย้อมสีเส้นขน เป็นวิธีที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่เจ็บ และไม่เสี่ยงกับอาการแพ้ ถ้าคุณคิดว่าจะย้อมสีขน ก็ควรเลือกสีให้เหมาะกับสี ผิวชาวเอเชีย เช่น สีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจะทำให้ขาของคุณดูสะอาดขึ้นได้

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย

การเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดสำหรับระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งจำเป็นต้องมีการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน ซึ่งประโยชน์ของการออกกำลังกายคือ
  • ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดี สามารถป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียงของเลือดได้เป็นอย่างดี เช่นโรคหัวใจ โรคปอด โรค
  • ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไร้กังวลเรื่องไขมันอุดตันในเส้นเลือด 
  • ป้องกันโรคอ้วน
  • ช่วยลดอาการเครียด
  • ช่วยทำให้ร่างกายพักผ่อนได้ดี
  • สามารถเสริมสร้างบุคลิกร่างกายให้ดูดี ได้กร้ามเนื้อมาแทนที่ไขมันส่วนเกิน
การเตรียมความพร้อมก่อนออกกำลังกาย คือ
  • ร่างกายต้องเป็นปกติ ไม่เจ็บไข้ หรือป่วยอยู่แล้ว เพราะร่างกายของผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันน้อยโรคต่างๆสามารถแทรกซ้อนได้ง่าย
  • เสื้อผ้าที่สวมใส่ในขณะออกกำลังกาย ควรเลือกสวมชุดที่มีความทะมัดทะแมง ไม่ใหญ่เกิดไป เพราะจะทำให้การเคลื่อนตัวยาก เป็นอุปสรรค์ต่อการเคลื่อนไหว อาจเป็นอันตรายได้
  • ไม่ควรรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำก่อน เพราะอาจทำให้เกิดอาการจุด เสียด และเหนื่อยง่าย
  • ควรทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เพื่อให้อวัยวะภายในได้เตรียมความพร้อมก่อน
และเมื่อออกกำลังกายเรียบร้อยแล้วควรอบอุ่นร่างกายก่อน ไม่ควรหยุดเลยทันที เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน และยาลืมดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อทดแทนน้ำหรือเหงือที่เสียไป